บทที่ 8 บทที่ 8 สมรสพระราชทาน

จ้าวฝูหมิงรีบพุ่งทะยานเข้ามาและดึงร่างของไป๋มู่หลันออกมาจากจ้าวซือซือทันที ดวงตาคมจ้องมองแฝดน้องของตนเองด้วยสายตาเย็นชา จ้าวซือซือ เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเฮอะในลำคอด้วยความหงุดหงิดใจ

"อย่ายุ่งกับอนุของข้า!!!"

"พี่รอง ข้าเพียงพาน้องไป๋ไปเที่ยวชมวังหลวงเพียงเท่านั้นเพคะ"

"หึ!!! เที่ยวชมวังหลวงหรือ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า!"

"แล้วอย่างไร ข้าชอบนาง ข้าอยากอยู่ใกล้นาง หากเจ้าไม่พอใจก็มาทุบตีข้าสิ!"

จ้าวฝูหมิงลอบสบถด่าทอจ้าวซือซือในใจเป็นพันครั้ง หากนางเป็นบุรุษเขาคงได้ถีบนางกระเด็นออกไปนอกกำแพงวังหลวงเป็นแน่

"งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว เจ้าอย่าคิดก่อเรื่อง!"

"พูดมาก น่ารำคาญยิ่งนัก!!! น้องไป๋ ไว้เราค่อยมาพูดคุยกันอีกนะ"

"เพคะองค์หญิง"

ไป๋มู่หลันยิ้มให้จ้าวซือซืออย่างเป็นมิตร ในใจรู้สึกสงสัยไม่น้อยว่าเหตุใดจ้าวฝูหมิงต้องทำท่าทีไม่พอใจยามที่นางอยู่กับแฝดน้องของเขาเช่นนี้ด้วย

"อย่าเข้าใกล้นาง!!!"

"ทำไมเล่าเพคะ?"

"ไม่ต้องถาม!!!"

เช่นนั้นนางก็จะไม่ถามเขาอีก

ไป๋มู่หลันก้มหน้างุด ช่างเถิด ในเมื่อเขาไม่ให้นางถามนางเดินกลับไปนั่งที่เดิมอย่างว่าง่าย คราวนี้จ้าวฝูหมิงก็ตามมานั่งกับนางด้วย งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างครึกครื้น เหล่านางรำต่างร่ายรำตามจังหวะเสียงพิณที่บรรเลงขับขาน เหล่าขุนนางชั้นสูง รวมถึงคุณหนูจากตระกูลใหญ่ต่างเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย

แม้จะบอกว่าเป็นงานเลี้ยง แต่ครานี้จ้าวฝูหรงอยากจะใช้งานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นการหาว่าที่พระชายาให้แก่จ้าวฝูหมิงไปด้วย เขาจึงเชิญสตรีจากตระกูลสูงส่งเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ เผื่อว่าจะมีสตรีน้อยจากตระกูลใหญ่ที่ถูกตาต้องใจจ้าวฝูหมิงบ้าง

ไทเฮาทรงชรามากแล้ว จึงของดเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ จ้าวฝูหรงเองก็เป็นห่วงเสด็จแม่ยิ่งนัก จึงยอมตามใจนาง

งานเลี้ยงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ภายในงานปรากฏร่างของสตรีนางหนึ่ง ดวงตาของนางกลมโตเป็นประกายเหมือนดวงจันทร์ ริมฝีปากแดงระเรื่อ ใบหน้างดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ นางคือ หลิวหยวนเหนียง บุตรสาวของท่านเสนาบดีกรมขุนนาง ปีนี้อายุได้สิบแปดปีแล้ว

ดวงตาคู่สวยจ้องมองจ้าวฝูหมิงอย่างไม่ลดละ นางได้ยินชื่อเสียงของเขามานาน ได้ยินมาว่าเขาเก่งกาจเชี่ยวชาญในการรบ อีกทั้งยังโหดเหี้ยมดุดันสมชายชาติทหาร นางชื่นชอบเขายิ่งนัก ยิ่งได้มีโอกาสมาพบเจอเขาเช่นนี้นางก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจเขาอยู่ไม่น้อย

ได้ยินมาว่าในจวนอ๋องมีนางบำเรออยู่มากมาย ไม่นานมานี้เขายังพาสตรีบ้านป่าคนหนึ่งกลับมาเป็นอนุอีกด้วย แต่ช่างเถิด อย่างไรเสียสตรีเหล่านั้นก็คงเป็นได้เพียงเท่านั้น จะมาเทียบกับนางที่เป็นพระชายาได้เช่นไรกัน

นางจะต้องได้แต่งเป็นพระชายาของเขาให้จงได้!!!

เหล่าขุนนางต่างร่ำสุราและพูดคุยสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ จ้าวฝูหรงปรายตามองไปโดยรอบ ก่อนจะหยุดสายตาเอาไว้ที่ หลิวหยวนเหนียง

สตรีนางนั้นได้ยินมาว่าเป็นสตรีที่งดงามเพียบพร้อม เก่งทั้งงานเย็บปัก วาดภาพ บรรเลงพิณ และคัดอักษร อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของท่านเสนาบดีกรมขุนนางอีกด้วย

ช่างเหมาะสมกับจ้าวฝูหมิงยิ่งนัก!

คนอย่างน้องรองหากไม่มัดมือชกเห็นทีคงจะไม่ยอมง่าย ๆ เป็นแน่

ก่อนหน้านี้เขาเองได้ลองเอ่ยหยั่งเชิงท่านเสนาบดีกรมขุนนางมาก่อนแล้ว ตาเฒ่าผู้นั้นไม่คิดจะทัดทานใด ๆ ด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเห็นดีเห็นงามกับเขาด้วย หากน้องรองได้แต่งพระชายาที่ดีพร้อม มาจากตระกูลสูงส่งคอยเกื้อหนุน ย่อมต้องดีเป็นอย่างยิ่ง

เขาหันไปพยักหน้าให้ขันทีคนสนิทหนึ่งครั้ง ขันทีผู้นั้นย่อมรู้หน้าที่เป็นอย่างดี

"เรียนทุกท่าน ยามนี้ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการทรงถวายสมรสพระราชทานให้แก่ชินอ๋องจ้าวฝูหมิงและคุณหนูหลิวหยวนเหนียง ขอให้ทั้งสองออกมารับราชโองการด้วย"

จ้าวฝูหมิงที่กำลังยกจอกสุราพลันชะงักไปเล็กน้อย ไป๋มู่หลันเองก็รู้สึกตกตะลึงไม่ต่างกัน

สมรสพระราชทาน? เขากำลังจะแต่งพระชายาเช่นนั้นหรือ?

ด้านหลิวหยวนเหนียงนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด นางลอบมองจ้าวฝูหมิงด้วยแววตาที่เป็นประกาย ไม่อยากจะเชื่อเลย นางยังมิได้เอ่ยสิ่งใดด้วยซ้ำ ตำแหน่งพระชายาก็ตกเป็นของนางเสียแล้ว

จ้าวฝูหมิงสบถด่าทอจ้าวฝูหรงในใจเป็นหมื่นครั้ง บัดซบ!!! พี่ใหญ่ไม่คิดจะปรึกษาเขาสักคำ

จ้าวฝูหมิงเดินออกมารับราชโองการพร้อมกับหลิวหยวนเหนียงด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาปรายตามองสตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างตนเองด้วยแววตาเรียบเฉย เอาเถิด!!! อย่างน้อยนางก็งดงาม ข้าเองก็เลี้ยงสตรีเอาไว้ในจวนมากมาย เพิ่มนางมาอีกสักคนจะเป็นไรไป

หลิวหยวนเหนียงที่ถูกเขาจ้องมองก็รู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก ยิ่งได้มองเขาใกล้ ๆ เช่นนี้ ก็ยิ่งถูกใบหน้าหล่อเหลาของเขากลืนกินหัวใจนางไปจนหมดสิ้น

ไป๋มู่หลันรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก นางรู้สึกราวกับว่าโลกนี้ช่างหม่นหมองและน่าหดหู่กว่าที่ผ่านมา

หลังจากงานเลี้ยงจบสิ้นลง จ้าวฝูหมิงก็พานางกลับจวนชินอ๋องทันที ระหว่างทางทั้งสองไม่ได้เอ่ยพูดจาใดใดต่อกันเลยแม้แต่ครึ่งคำ

รถม้าเคลื่อนมาจนถึงหน้าประตูจวนอ๋อง ไป๋มู่หลันเดินตามเขาเข้ามาในเรือนอย่างไม่รีบไม่ร้อน จ้าวฝูหมิงรู้สึกมึนเมาสุราอยู่บ้าง จึงให้นางกลับไปพักผ่อนเสีย

รุ่งเช้ามีเหล่าทหารในวังมาแจ้งแก่จ้าวฝูหมิง ว่าชาวเผ่าตงหูที่อาศัยอยู่ทางทิศเหนือ สมคบคิดกับแคว้นจ้าวก่อความวุ่นวาย ลงมือเข่นฆ่าทหารทางชายแดนทิศเหนืออย่างโหดเหี้ยม เพื่อหวังทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ฉีอ๋อง

จ้าวฝูหมิงนำทหารร่วมแสนนายเดินทางไปที่ชายแดนทางเหนือทันที ก่อนจะออกจากจวนอ๋อง เขาสั่งให้ไป๋มู่หลันดูแลจวนให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ไป๋มู่หลันพยักหน้ารับคำเขาอย่างว่าง่าย

จ้าวฝูหมิงเดินทางร่วมครึ่งเดือนก็มาถึงที่ชายแดนทางทิศเหนือ ภาพที่เห็นทำเอาเขาถึงกับโมโหเลือดขึ้นหน้า

ท่านอาของเขานามว่า จ้าวเฟยหรง คือท่านอ๋องผู้ปกครองแคว้นจ้าวในขณะนี้ เขาเป็นน้องชายต่างมารดาของเสด็จพ่อ ด้วยเพราะเสด็จพ่อรักใคร่น้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก จึงมอบแคว้นจ้าวให้เขาปกครองเสีย แต่คาดไม่ถึงว่าเขากลับคิดทรยศต่อเสียนหยางเช่นนี้

เผ่าตงหูเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนและบ้าอำนาจเป็นอย่างยิ่ง มีผู้นำนามว่า ข่านมู่เจี่ย เขาเป็นคนบ้าเลือดและเข่นฆ่าผู้คนไม่เลือกหน้า

เสด็จอาช่างโง่เขลายิ่งนักที่คิดก่อกบฏเช่นนี้

ไฟสงครามทางเหนือปะทุอย่างต่อเนื่อง แม้จะสามารถกวาดล้างเหล่าทหารของแคว้นจ้าวได้สำเร็จ แต่ทว่าจ้าวเฟยหรง และข่านมู่เจี่ย กลับหนีรอดเงื้อมมือของเขาไปได้

จ้าวฝูหมิงตัดสินใจทิ้งทหารไว้เฝ้าเขตชายแดนไม่กี่หมื่นนาย ส่วนเขาพาทหารที่เหลือกลับเมืองหลวงเสียนหยางเสียก่อน หากมีเหตุการณ์ใดไม่น่าไว้วางใจ ให้ส่งม้าเร็วมาแจ้งแก่เขาที่เสียนหยางทันที

จ้าวฝูหมิงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองเสียนหยางทันที เขาเดินทางอย่างไม่รีบไม่ร้อนมีหยุดพักบ้างระหว่างทางเพียงเท่านั้น

ด้านไป๋มู่หลันนั้น เช้าวันหนึ่งที่นางกำลังตื่นนอน กลับพบว่าบนเตียงนอนของตนมีเลือดไหลซึมออกมาตามเรียวขาจนเปรอะเปื้อนเตียงนอนไปหมด

รอบเดือนของนางมาแล้ว!!!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป